วันพุธที่ 13 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

ศาลเก่า...ไม้เก่า...มาเล่าใหม่


คุณค่าทางสถาปัตยกรรม
ศาลเจ้าเกียนอันเกง
ศาลเก่า...ไม้เก่า...มาเล่าใหม่

กาลครั้งหนึ่ง ช่วงเวลาสายๆของวันปกติ ครอบครัวของผมได้พากันมาไหว้สักการะสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ ที่ตั้งอยู่ตามแม่น้ำเจ้าพระยา พ่อได้พาเดินลัดเลาะไปตามทางเดินในซอยเก่า ผ่านชุมชนที่จอแจ มีบ้านเรือนอยู่เบียดเสียดติดกันอย่างหนาแน่น พอเดินออกมาพ้นจากซอกซอยก็พบกับทางเดินยาวริมฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยา ในแม่น้ำมีเรือมากมายต่างๆนาๆสัญจรกันอย่างคับคั่ง เรือยนต์แล่นผ่านผิวน้ำพาคลื่นซัดมากระแทกตามฝั่งส่งเสียงดังอึกทึกคึกโครม แล้วก็พากันเดินเลาะตามริมฝั่งแม่น้ำต่อไปเรื่อยๆ จนเสียงที่ดังอึกทึกได้จางหายแผ่วเบาไป และแล้วสิ่งที่อยู่ตรงหน้าก็กลับกลายเป็นลานกว้างของศาลเจ้าเก่าอันสงบ” และนี่ก็คือการต้อนรับจากศาลเจ้าเกียนอันเกงที่ผมได้รู้จัก...
ลานด้านหน้าศาลเจ้าเกียงอันเกง

...และการทักทายต่อมาที่ตามมาติดๆ ก็คือรูปแบบสถาปัตยกรรมศาลเจ้าจีนอันเก่าแก่ ที่ยังคงเหลือร่องลอยของศิลปะปูนปั้นอันงดงาม ทั้งโครงสร้างปูนที่ผสมผสานอยู่ร่วมกับไม้เก่าที่เป็นเสน่ห์อันน่าหลงใหลของศาลเจ้าแห่งนี้

รูปภาพประกอบ กระถางธูปในศาลเจ้า
ประวัติศาลเจ้าเกียนอันเกง
ประวัติศาลเจ้าเกียนอันเกงแต่ดั้งเดิมนั้นไม่ปรากฏเป็นลายลักษณ์อักษร  แต่ตามคำบอกเล่าสืบทอดกันมาจากผู้ใหญ่ กล่าวกันว่าเป็นศาลเจ้าที่สร้างขึ้นโดยคนจีนที่ตามเสด็จพระเจ้าตากสินมหาราชมาตั้งถิ่นฐานอยู่ที่ปากคลองบางหลวง หรือคลองบางกอกใหญ่ทางฝั่งตะวันออก เมื่อคราวที่พระองค์ทรงสถาปนากรุงธนบุรีขึ้นเป็นราชธานี ครั้นต่อมาเมื่อพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชทรงย้ายพระนครหลวง ไปตั้งยังฝั่งพระนคร คนจีนเหล่านี้ได้อพยพไปตั้งถิ่นฐานอยู่ที่ฝั่งพระนครบริเวณตลาดน้อยมาจนจรดสามเพ็ง ศาลเจ้าที่สร้างในสมัยนั้นมีอยู่สองศาล ตั้งอยู่ใกล้เคียงกัน จะมีชื่อว่ากระไรไม่ปรากฏ 
รูปภาพประกอบ เจ้าพ่อกวนอู

ศาลหนึ่งประดิษฐานเจ้าพ่อโจวซือกง ส่วนอีกศาลนั้นประดิษฐานเจ้าพ่อกวนอู เมื่อคนจีนย้ายไปอยู่ที่ฝั่งพระนครแล้ว ศาลเจ้าทั้งสองศาลนี้ก็ถูกทอดทิ้งชำรุดทรุดโทรมลง ครั้นเมื่อเจ้าพระยานิกรบดินทร เจ้าสัวโต ต้นสกุลกัลยาณมิตร อุทิศที่บ้าน กับซื้อที่ดินเพิ่มเติมเพื่อสร้างวัดกัลยาณมิตร ขึ้นเมื่อ พ.ศ. 2368 ซึ่งเป็นปีที่ 2 ในรัชกาลพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 3 ชาวจีนจากมณฑลฮกเกี้ยน ตำบลเจียงจิว และจัวจิว ซึ่งเป็นบรรพบุรุษของ สกุลตันติเวชกุล และ สกุลสิมะเสถียร ได้เดินทางมากราบไหว้ที่ศาลเจ้าทั้งสองนี้ ครั้นแลเห็นชำรุดทรุดโทรมหนักก็ไม่คิดที่จะซ่อมแซม แต่ได้ร่วมกันรื้อศาลเจ้าทั้งสองแต่เดิมนั้นลง แล้วสร้างศาลเจ้าใหม่ ในที่เดิมเป็นศาลเดียว แต่จะอัญเชิญเจ้าพ่อโจวซือกง และเจ้าพ่อกวนอูไปประดิษฐานที่ใดไม่ปรากฏ ส่วนศาลเจ้าที่สร้างใหม่ได้เปลี่ยนองค์พระประธานเป็นเจ้าแม่กวนอิม และชื่อศาลเจ้าแห่งนี้ เป็นชื่อที่ใช้ติดต่อสืบมาจนปัจจุบันว่า “ศาลเจ้าเกียนอันเกง

รูปภาพประกอบ องค์เจ้าแม่กวนอิม
ศาลเจ้าเกียนอันเกง สร้างเสร็จเมื่อฤดูใบไม้ผลิปีที่ 25 ในรัชสมัยของสมเด็จพระเจ้าจักรพรรดิกวงสือของประเทศจีน แล้วได้อัญเชิญเจ้าแม่กวนอิม มาประดิษฐานเป็นพระประธานตั้งแต่บัดนั้น พร้อมกับระฆังใบใหญ่ซึ่งแขวนประจำอยู่จนทุกวันนี้ และจากระฆังใบนี้เองปรากฏอักษรจารึกเป็นความว่า เป็นระฆังที่ผู้มีจิตศรัทธา ได้ร่วมใจกันหล่อถวายเจ้าแม่กวนอิมที่แซฮุนเต็ง เมื่อรัชสมัยสมเด็จพระเจ้าจักรพรรดิเต้ากวง จากหลักฐานที่จารึกดังกล่าวแสดงว่า เจ้าแม่กวนอิมองค์นี้มีอายุมากกว่าศาลเจ้าเกียนอันเกง ส่วนแซฮุนเต็งอันเป็นศาลเจ้าเดิมที่ประดิษฐานนั้นอยู่ในมณฑลฮกเกี้ยน ประเทศจีน เป็นศาลเจ้าแม่กวนอิมที่ศักดิ์สิทธิ์ของชาวฮกเกี้ยน ส่วนการรื้อศาลเจ้าเดิมทั้งสองศาล แทนที่จะซ่อมแซมให้มั่นคงเหมือนเดิม สันนิษฐานว่า บรรพบุรุษที่เดินทางมาจากมณฑลฮกเกี้ยนในครั้งนั้น มีความเห็นว่าเมื่อเจ้าสัวโตสร้างซัมปอกง (หลวงพ่อโต) ขึ้นตามพระราชดำริของพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว เพื่อให้เหมือนกับวัดพนัญเชิง จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ก็สมควรที่จะสร้างศาลเจ้าแม่กวนอิมขึ้นคู่กับซัมปอกง เพราะเจ้าแม่กวนอิมเป็นองค์อุปถัมภ์การข้ามน้ำข้ามทะเลของซัมปอกง จึงไม่คิดที่จะซ่อมแซมศาลเจ้าสองหลังเดิม แต่ได้ช่วยกันรื้อลง แล้วสร้างขึ้นใหม่เป็นศาลเดียว แล้วไปอัญเชิญเจ้าแม่กวนอิมจากแซฮุนเต็ง มาประดิษฐานแทน


ในเวลาต่อมา ศาลเจ้าเกียนอันเกง กรุงเทพมหานคร ได้รับ รางวัลอนุรักษ์ศิลปสถาปัตยกรรมดีเด่น ประจำปี ๒๕๕๑ ประเภทปูชนียสถานและวัดวาอาราม จาก สมาคมสถาปนิกสยาม ในพระบรมราชูปถัมภ์

ภาพประกอบ ASA vernadoc รูปด้าน ด้านหน้า ศาลเจ้าเกียนอันเกง

หลังจากการจากลาเมื่อนานมาแล้ว และแล้วก็ได้โอกาสกลับมาเยือนอีกครั้ง และนี่คือเรื่องราวการเดินทางกลับมาเยี่ยมเยียนศาลเจ้าแม่กวนอิม ศาลเจ้าเกียงอันเกง อีกครั้งหนึ่ง

แต่การเดินทางครั้งนี้จะใช้เส้นทางต่างจากเมื่อครั้งก่อน...

เริ่มด้วยการเดินทางผ่านตรอกวังหลัง


ภายในตรอกวังหลังยังคงมีอาคารไม้เก่าให้เห็นเป็นระยะๆ

เห็นแล้วก็จัดไปหนึ่งขีด


ผู้คนเดินจับจ่ายกันจอแจ

ระหว่างเส้นทาง จะผ่านวัดที่สำคัญๆ ที่ตั้งอยู่ริมฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยา

กำแพงกุฏิวัดวัดระฆังโฆสิตาราม



ด้านหน้า วัดระฆังโฆสิตาราม

ศาลาริมน้ำ ท่าเรือวัดระฆังโฆสิตาราม

ฝูงนกบินวนไปวนมา
ชื่นชมกับบรรยากาศริมฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยา
ชุมชนริมฝั่งตรงข้าม

แล้วก็ขึ้นเรือโดยสาร ไปท่าวัดกัลยาณมิตร เป็นตั๋วเรือแบบเหมาจ่ายสามารถเดินทางไปวัดได้ 3 แห่ง
เพื่อไหว้พระ ได้แก่ วัดระฆังโฆสิตาราม ,วัดอรุณราขวรารามวรวิหาร ,วัดกัลยาณมิตร
ระหว่างนั่งเรือ จะผ่านสถานที่สำคัญๆหลายแห่ง
พระบรมหาราชวัง
ราชนาวิกสภา

และก็มาถึงท่าเรือวัดกัลยาณมิตร
ด้านหน้า วัดกัลยาณมิตร

ซอยทางเข้า ศาลเจ้าเกียนอันเกง

ร้านค้าขายธูปเทียน ภายในซอกซอยระหว่างทาง

ประตูทางเข้าด้านข้าง ศาลเจ้า
แล้วก็มาถึง ณ ลานหน้าศาลเจ้าเกียนอันเกง
ด้วยเหตุที่ว่าศาลเจ้าแห่งนี้เต็มไปด้วยผลงานศิลปะอันวิจิตรบรรจงจากฝีมือช่างในอดีต ซึ่งยังคงสภาพสมบูรณ์เป็นส่วนมาก โดยในส่วนที่ชำรุดไม่ว่าจากสภาพธรรมชาติ หรือจากการกระทำจากมนุษย์ จะเห็นได้ว่ามีการพยายามซ่อมแซมให้คืนสภาพใกล้เคียงของเดิมที่สุด ทั้งด้วยวิธีการและวัสดุแบบดั้งเดิม หรือด้วยเทคนิคใหม่แต่ทำอย่างแนบเนียน แต่ถึงกระนั้นก็อาจยังไม่ทันกาล เพราะที่ผ่านมาเป็นเพียงการซ่อมแซมตามสภาพมิใช่การป้องกัน และคุณค่ามหาศาลที่ไม่อาจมีอะไรมาทดแทนได้ซึ่งซ่อนอยู่ภายใต้คราบคร่ำกำลังทรุดโทรมลงทุกส่วนพร้อม ๆ กัน ไม่ว่าจะเป็นงานแกะสลักไม้ จิตรกรรมฝาผนังและบนบานประตู ลวดลายปูนปั้น รวมทั้งระบบโครงสร้างแบบจีนโบราณ ซึ่งหากได้มีการอนุรักษ์ตามวิธีการที่ถูกต้องในคราวเดียวกันสักครั้งโดยผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทาง ก็อาจชะลอให้ความเสื่อมสลายยืดเวลาออกไปได้อีกหลายปี
จดจำความงดงามผ่านมือของตัวเอง

จากการได้ศึกษาวิเคราะห์ คาดว่า ศาลเจ้าเกียนอังเกงเป็นโครงสร้างหลังคาแบบจีนทางตอนใต้ ใช้ระบบเสาและคานรัด (THE COLUMN AND TIEBEAM STRUCTURAL SYSTEM) ภาษาจีนจะเรียกว่า  “ฉวนโตว่ซือ”  (穿斗式:Chuan dou shi) ระบบนี้เสาจะถูกวางเรียงไปตามทางลึกของอาคาร โดยมีการเว้นระยะห่างของเสาเท่ากัน และจะไม่มีการวางคานพาดผ่านเสาเหล่านี้ แต่จะวางแปกลมไว้บนยอดของเสาแทน และระบบของโครงสร้างหลังคาจะถูกสร้างจากการใช้คานรัดที่วางทะลุสอดผ่านเสาเพื่อเชื่อมเสาทั้งหมดเข้าด้วยกันซึ่งคานนี้จะถูกวางเป็นชั้นๆลดหลั่นไปถึงยอดหลังคา

หลังคาศาลเจ้า มีการลดหลั่นอย่างเห็นได้ชัด

โถงปากประตูทางเข้าศาลเจ้า ด้านบนเป็นคานไม้แกะสลัก ปราณีตสวยงาม

ป้ายไม้แกะสลัก บนวงกบประตู

ภายในของศาลเจ้า มีการเปิดโถงกลางแจ้งตรงกลางอาคาร
การเชื่อมต่อกันระหว่างโครงสร้างคานไม้ กับ ผนังปูน

การพาดกันของโครงสร้างหลังคาไม้


งานศิลปกรรมจีนของศาลเจ้าแห่งนี้ ที่สะดุดตาที่สุดก็คือ งานแกะสลักไม้ และงานตุ๊กตาประดับผนัง


ช่องบานหน้าต่างทรงกลมแกะสลักไม้ และงานปูนปั้นประดับผนัง


งานแกะสลักหัวไม้ (ลักษณะคล้ายกับค้างคาวห้อยหัว)


มุมมองจากศาลเจ้า ออกสู่แม่น้ำเจ้าพระยา


ประตูทางเข้าศาลเจ้า

มุมมองจากทางเดินริมแม่น้ำเจ้าพระยา

สภาพชุมชนโดยรอบศาลเจ้าเกียนอันเกง




หลังจากที่ได้ไปเยี่ยมเยียนศาลเจ้าเกียงอันเกงอีกครั้ง ความรู้สึกในความประทับใจ และความซาบซึ้งในงานศิลปะและสถาปัตยกรรมอันเป็นเสน่ห์ที่หาได้ยาก จนทำให้ตระหนักชัดเจนว่า “สถาปัตยกรรม นั้นไม่สามารถแยกออกจาก ศิลปะ ได้อย่างสิ้นเชิง” ก็ยังคงอยู่ลึกในจิตใจของผม และก็ยิ่งเพิ่มทวีความรู้สึกหวนแหนในมรดกตกทอดจากบรรพบุรุษ ที่ได้หลงเหลือสิ่งสวยงามไว้ให้คนรุ่นหลังอย่างผมไว้ได้ชื่นชม
สุดท้ายนี้ก็หวังไว้ว่ารายงานชิ้นนี้อาจจะก่อเกิดประโยชน์ต่อท่านผู้ชมไม่มากก็น้อย และรายงานชิ้นนี้อาจจะมีข้อผิดพลาดประการใด ก็ขออภัยไว้ใน ณ ที่นี้ด้วยครับ

ขอขอบคุณ ศาลเจ้าเกียนอังเกง
แหล่งอ้างอิง
http://vernadoc.multiply.com/journal/item/7
https://sites.google.com/site/sudjitprofile/internal-blog/salceakeiynxankeng
http://www.oknation.net/blog/fools/2009/08/23/entry-1
http://topicstock.pantip.com/library/topicstock/2010/05/K9205784/K9205784.html
http://www.reurnthai.com/index.php?topic=4986.0
จัดทำโดย
นพัตธร จิตวีรภัทร
นักศึกษาคณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ สจร.
52020041